เป็นที่ร่ำลือกันให้ทั่วเรื่องการลากรถสายพานออกมาของเหล่าขุนพลสีเขียว จนเป็นที่คาดเดากันว่าสงครามกลางเมืองคงเกิดขึ้นแน่ แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่อะไรที่จะทำกันได้ง่ายๆ เพราะเหตุใดมาดูกัน
1. อำนาจของสีเขียวสีเดียวก็เพียงพอที่จะออกมาหยุดเสื้อสีใดสีหนึ่งได้อย่างง่ายดาย เพราะจำนวนทหารที่ประจำการอยู่จำนวนมากและเรียกระดมพลเสริมได้อีก
2. อาวุธยุทโธปกรณ์ที่กองทัพมีไว้สำหรับต่อต้านศัตรูภายนอกประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่กำลังมวลชนเสื้อสีใดสีหนึ่งหรือทั้ง 2 สีจะต้านทานได้ ดูได้จากงบประมาณในการซื้ออาวุธ คลังอาวุธตามค่ายทหารต่างๆในแต่ละจังหวัดอีกจำนวนมาก
3. กำลังพลเขาฝึกมาเพื่อ "ฆ่าศัตรู" และ "ปกป้องตัวเองจากศัตรู" แต่มวลชนทั่วไปไม่ได้รับการฝึกสิ่งเหล่านี้ และมวลชนยังประกอบด้วยผู้หญิงอีกจำนวนมาก ที่ไม่อาจนำไปสู้รบในลักษณะการใช้อาวุธได้ เมื่อแยกผู้ชายออกมา ยังต้องแยกเด็กและผู้ใหญ่วัยชราออกมาอีก ดังนี้นจะเหลือเพียงมวลชนชายใจถึงเพียงจำนวนไม่มากนัก ไม่สามารถจับอาวุธสู้รบกับกำลังพลได้ และไม่สามารถป้องกันเอาตัวรอดได้ในสนามรบ เพราะอย่างมาก็ได้รัยบการฝึก รด หรือเคยเป็นพลทหารมาเท่านั้น แต่ต้องต่อสู้กับทหารประจำการ โดยเฉพาะชั้นนายสิบ จ่า ขึ้นไปที่เป็นมืออาชีพ
4. ไม่มีทางที่จะมีใครทำการลากรถถังออกมาซ้อน หรือลากเครื่องบิน ลากเรือรบออกมาต่างหาก เพราะเวลาจะทำการใหญ่แบบนี้ เขาจะใช้วิธียกหูเคลียใจกัน ทหารปกครองกันในระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่ว่าจะทัพบก เรือ อากาศ ล้วนมีที่มาจาก รร.รวมเหล่า สมัยก่อนก็มาจาก จปร ด้วยกันทั้ง 3 เหล่าทัพ แต่ปัจจุบันแยกเหล่า แต่ก็ยังนับถือกันอยู่เสมอ ทหารระดับใหญ่ๆแนวหน้าของกองทัพ ชื่อเสียงนามสกุลดังๆ สมัยก่อนล้วนแล้วแต่มีบารมี ปกครอง เลี้ยง ส่งเสริมลูกน้องในสายบังคับบัญชาของตัวเองมากันไม่ต่ำกว่า 20-30 ปี มีลูกน้องพร้อมยอมตา่ยแทน เชื่อฟัง ไม่มีหักหลัง ดังนั้นคนเหล่านี้ยกหูทีเดียวทุกอย่างที่เป็นเรื่องยาก กลายเป็นเรื่องง่ายทันที ดูตัวอย่างได้ในสมัยนายกแดนไกล ขนาดมีเพื่อนรุ่วมรุ่น และรุ่นพี่สายตัวเองปกครอง ยังแพ้ราบคาบตั้งแต่ยังไม่ได้จับปืนสู้เลยด้วยซ้ำ เพราะจะมีผู้ใหญ่ยกหูแสดง power ปิดเกมส์กันเรียบร้อยทางโทรศัพท์
5. เป็นที่รู้กันในหมู่ทหารระดับบนๆว่า สีเขียวนั้นคนใหญ่จริงๆอาจสามารถโยกย้ายกำลังพลข้ามสายงานได้ เช่น สามารถโยกย้ายสีกากี สายน้ำ สายอากาศ ได้ด้วยซ้ำไป ดังนั้นบารมีใครใหญ่กว่ามากกว่า ผู้นั้นย่อมเป็นผู้กำชัยชนะ จะหาโอกาสที่ทัพใดจะแตกคอไปคงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครเสี่ยงอยู่ทัพเดียวมาเข้าข้างเสื้อสีใดเฉพาะ ยิ่งทัพฟ้ากับน้ำ อาวุธที่มีล้วนใช้ทำสงครามทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างหรือยานพาหนะมากกว่าจะใช้ทำลายกำลังพล จะมีก็แต่ทัพบกเท่านั้นที่มีอาวุธเหมาะสมในการทำลายได้หลากหลาย โดยเฉพาะสู้กับคน
6. อาจมีคนสงสัยว่าทหารแตงโม มีหรือไม่ แน่นอน การโยกย้ายหลายปีที่ผ่านมาทำให้สายการปกครอง วุ่นวายไม่เป็นไปตามรุ่นที่ควรจะเป็นย่อมมีผู้ไม่พอใจอย่างมาก จำนวนมาก เพราะทหารจะไม่สามารถที่จะเติบโตได้เรียงตามลำดับรุ่น เช่น 1 2 3 4 5.... แต่อาจเป็น 1 3 5 7 9 เป็นต้น เนื่องจากอายุราชการและส่วนประกอบทางเทคนิคอื่นๆ เมื่อระดับบนโยกย้ายเอาคนของตัวเองขึ้นมาโดยผู้นั้นไม่ได้อยู่ในไลน์หรือสายที่ควรจะขึ้น ก็จะทำให้ระบบรุ่นรวนไปหมด เช่นตัวอย่างในอดีต จปร.5 ควรขึ้นก่อน จปร.7 แต่ผู้มีอำนาจไปสนับสนุน รุ่น 7 ขึ้นข้ามหัวรุ่น 5 พอต่อมา รุ่น 7 เติบโตเกินเอาไม่อยู่ ผู้มีอำนาจก็ไปสนับสนุนรุ่น 5 ขึ้นมา รุ่น 7 ก็ไม่ยอม ทั้งที่อาวุโสน้อยกว่าแต่ได้ดีจนเคยตัว เป็นบ่อเกิดของการลากรถถังออกหลายต่อหลายครั้งในอดีต ดังนั้นถึงแม้จะมีทหารแตงโมแต่ก็ถูกโยกย้ายไปอยู่ในสายที่ไม่คุมกำลังหมดแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรวมตัวกันขึ้นมาสู่กับสายกำลังหลักปัจจุบัน
7. ทหารใช้ระบบผลการสอบ เมื่อจบ รร.เหล่า ใครได้คะแนนดีก็จะมีสิทธิ์ที่จะเลือกไปอยุ่ยังหน่วยงานดีๆ ระดับคุมกำลังของกองทัพ เพื่อเข้าไปสู่สายที่จะเป็นผู้พัน ผู้บัญชาการ แม่ทัพ จนถึงผบเหล่า ได้ ส่วนคนที่ได้คะแนนน้อยๆก็อาจต้องไปอยู่ตามชายแดนหรือหน่วยสนับสนุนที่ไม่อาจก้าวไปถึงดวงดาวได้ แต่ยังมีโอกาสอีกครั้งเมื่อจะติดยศพันตรี ต้องเข้าเรียนยัง รร.เสธ เมือจบแล้วก็จะดูคะแนนสอบที่ได้ว่าใครได้มากก็อาจมีสิทธิ์ที่จะเลือกหน่วยงานดีๆไปลงได้อีกครั้ง ยกเว่นบางสายงานที่ไม่อาจไปยุ่งกับคนอื่นได้เพราะไม่ตรงสายงานตัวเอง โดยมักมีการจองที่กันไว้ก่อนแล้ว เพราะล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนๆกันทั้งนั้น ใช้ซื้อใจกันก็จบเกมส์ ทหารใช้วิธีแบบนี้เสมอ ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังกัน แต่ในระยะเวลาที่ผ่านมามีการย้ายข้ามสายงานกัน ประเพณีที่เคยเป็นมาอาจมีการเปลี่ยนแปลง อาจเรียกง่ายๆบ้านๆได้ว่ามีการ เอาทหารกรุงไปตบยุง และนำทหารบ้านนอกมาอยู่กรุงแทน ดังนั้นทหารสายที่มาอย่างถูกต้องจึงมีน่อยกว่า ไม่สามารถต้านทานสายใหม่ได้เลย หรือที่มีคำเรียกทหารกรุงกันว่า วง.... และเรียกทหารต่างจังหวัดว่า บู.... เป็นต้น
8. มีคนอาจมโนภาพไปอีกว่า สีกากี เชี่ยวชาญกลศึกในเมืองมากกว่า สู้ได้แน่ แต่ความเป็นจริง สีกากีนั้น ระดับสูงไม่ได้จบมาจาก รร.เหล่าอย่างเดียวแต่มีผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยต่างๆเข้ามาอีกด้วย จึงไม่สามารถรวมตัวกันเป็นระบบพี่น้องได้ แถมยังมีการเมืองเข้ามาโยกย้ายแต่งตั้งได้ตลอด ทำให้เกิดเป็นสายใครสายมันมากกว่า อีกทั้งผู้ที่จบจากรร.เหล่า ก็ต้องผ่าน รร.เตรียมทหาร ไปอยู่กับเพื่อนต่างทัพอีก 3 เหล่า มีสายใยโยงอำนาจหากันได้อีก ไม่เป็นเอกภาพ จะเห็นได้ชัดตัวอย่างจากบางคนที่ไปอยุ่กับฝ่ายตรงข้ามรัฐสังกัดกทม ก็ยังมีบารมีในกรมกากี สามารถหาข่าวสาร อาจถึงสั่งานลูกน้องเก่าได้อีก ดังนั้นเมื่อกากีไม่เป็นหนึ่งเดียวจริงๆ เมื่อกำลังสีเขียวลากรถถังออก แล้วเรียกหัวหน้าหน่วยงานต่างๆเข้ามรายงานตัว เหล่าระดับบนๆของสีกากีก็ต้องยอมแพ้เข้าไปรายงานตัวเปลี่ยนข้างโดยจำยอมทุกครั้งไป เพราะเขารู้ไส้รู้พุงกันดีว่าไม่อาจสู้อำนาจทุกอย่างของกองทัพได้ เมื่อนั้นหากสมมุติจะมีบางหน่วยงาน บางกลุ่มของสีกากีที่ไม่ยอม หาญสู้อย่างมาก็จะเป็นเพียงแค่การสู้แบบจรยุทธ แอบๆซ่อนๆ ประปราย ไม่นานก็จะถูกปราบราบคาบสิ้น เพราะด้วยการสนับสนุนทุกอย่างน้อยกว่าที่กองทัพมี ไม่ว่าจะกำลังพล อาวุธ เสบียง ฯลฯ
9. ด้วยกำลังพลสีกากีนั้น มีหน่วยพิเศษเพียงแค่ 3 หน่วย และกำลังพลต่างได้เคยเข้ารบการฝึกจากเหล่าทัพทั้งสิ้น ดังนั้นไม่อาจรับมือกับกองทัพที่มีกำลังพลชั้นครูฝึก ไม่ต้องเอ่ยนามหน่วย เป็นที่รู้กันดีว่าแต่ละหน่วยผ่านสงครามจริงมามาก ทั้งเหตุการณ์ปฏิวัติหลายครั้ง เหตุการณ์พิเศษปกปิดอีกมาก ไม่อาจเทียบชั้นกันได้เลยสักนิด
10. บ้างมโนภาพใส่ร้ายว่ามีการจ้างกองกำลังต่างชาติเข้ามาช่วยเสื้อแดง โดยความเป็นจริง ตามแนวชายแดนกองทัพ กับตชด ได้รักษาแนวไว้ตลอดเวลายกที่จะมีกองกำลังต่างชาติผ่านเข้ามาประทำการใดๆได้ง่ายๆ ถึงหลุดเข้ามาก็จะถูกผลักดันออกไปโดยใช้เวลาไม่นาน ดังนั้นมีประตูเดียวที่กองกำลังต่างชาติ(เพื่อนบ้าน)จะเข้ามาได้คือ กองทัพปิดหูปิดตา รู้เห็นเป็นใจด้วยเท่านั้น ดังนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ที่เพื่อนใกล้ๆบ้านจะมาช่วยแดงได้นอกเสียจาก มาช่วยอีกสีหนึ่งอาจเป็นไปได้หากประตูเปิด
11. มีการลือกันอีกว่าจะมีกองกำลังผิวขาวมาช่วย ดูในความเป็นจริง สมมุติบ้านเมืองมีเหตุถึงขั้นก่อการก่อการจลาจล ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เหตุการณ์ปราบเสื้อแดงก็ไม่ถือว่าเป็นการจราจล เพราะถือเป็นเหตุใหญ่ด้วยผู้คน 2 ฝ่ายจะออกมาปล้นสะดม เข่นฆ่ากัน โดยไม่เกรงกลัวกฏหมาย หรือกฏหมายใช้ไม่ได้ผล แค่นั้นไม่อาจนำไปสู่การที่นานาชาติจะเข้ามาแทรกแซงได้ เพราะต้องเกิดสงครามการเมืองเท่านั้น สมมุติ ประชาชนติดอาวุธจัดตั้งกองกำลังสู้กับสีเขียว มีการยิงถล่มกันใช้อาวุธหนัก ฆ่ากัน และไม่มีใครเอาอยู่ โดยจะต้องมีผู้นำฝ่ายหนึ่งที่นานาชาติยอมรับอาจหนีไปเมืองนอก ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นให้นานาชาติลงมติยอมรับ บอยคอด คว่ำบาตร มีกระบวนการมากมายกว่าที่นานาชาติ จะส่งกำลังเข้ามาเลือกที่จะสยบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เขาไม่ยอมรับ หรืออาจใช้การช่วยสนับสนุนส่งอาวุธให้ฝ่ายที่มีความชอบธรรมมากกว่าแต่ไม่มีอาวุธต่อสู้กับอีกฝ่ายหนึ่งที่พร้อมด้วยอาวุธ เพราะส่วนมากการเข้าแทรกแซงก็มักจะเข้ามาทำการจัดการเลือกตั้งและช่วยจัดตั้งรัฐบาลให้เท่านั้น นอกจากประเทศที่หัวรุนแรงและมีกำลังพลพร้อมอาวุธที่ไม่ยอมกองกำลังนานาชาติเท่านั้น ถึงจะมีการสู้รบกับนานาชาติเกิดขึ้น
12. เป็นไปได้หรือไม่ว่าประชนชนจัดตั้งกองกำลังของตัวเอง รบกับกองทัพ ย้อยไปดูข้อ.3 จะเห็นได้เลยว่า ต่อให้ได้รับการฝึกมาก็จะมีกำลังพลไม่มาก ที่เชียวชาญอาวุธจริงๆ ที่สำคัญอาวุธที่จะต่อกรกับกองทัพได้ต้องเป็นอาวุธหนักเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถจะหาได้มากพอไม่ว่าจะหาโดยวิธีใดก็ตามนอกจากนานาชาติสนับสนุนส่งอาวุธให้เท่านั้น อีกทั้งเมื่อต้องรบจริง ประชาชนหัวกะทิที่ใจกล้าเท่านั้นที่จะยอม "ตายจริง" ซึ่งเมื่อถูกปราบสิ้นก็จะหากำลังพลทดแทนไม่ได้ ไม่เหมือนกองทัพที่หาได้ตลอด จึงเป็นเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น
13. สิ่งที่กองทัพจะทำอย่างแรกคือ จัดการแกนนำก่อน ไม่ว่าด้วยวิธีใด แล้วตัดการติดต่อสื่อสาร เช่น ช่องทีวี วิทยุของมวลชนฝ่ายตรงข้าม เช่นเดียวกับเหตุการณ์ปราบเสื่อแดงที่ผ่านมา เมื่อถูกตัดการสื่อสารทั้งทีวี วิทยุชุมชน internet แล้ว การบัญชาการของมวลชนจะไม่เป็นเอกภาพพ่ายแพ้ในที่สุด
แล้วหากเกิดเหตุการณ์ลากรถถังออกมาประชนฝ่ายที่ชอบธรรมจะต่อสู้ได้อย่างไรถึงจะชนะ?
ตอบได้เลยว่าหนทางแทบเป็นไปไม่ได้เลย นอกเสียจากมวลชนจะรวมกันได่มากมายมหาศาลโดยไม่มีโรยรา เป็นปวงชนชาวไทยจำนวนหลักแสนคนขึ้นไปในแต่ละจังหวัด และส่งต่อให้นานาชาติกดดันเท่านั้น โดยสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในไทย ไม่มีใครรับรองได้ว่ากองทัพจะกล้าสู้กับประชาชนจำนวนมากหรือไม่ เพราะขนาดสมัยเสื้อแดงมาชุมนุมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย 3 เวที ผู้คนหลายแสนคน ของจริง มากกว่าม๊อบกบฏหลายเท่า ก็ยังถูกปราบราบคาบสิ้น ดังนั้น การเผื่อใจไว้ ดีกว่าร้องไห้ทีหลังและเป็นคำตอบว่า การรวมกลุ่มของประชาชนที่ต่อต้านอำนาจจากปากกระบอกปืนต้องมีขึ้นแล้ว และมีมากกว่าที่เคยมีมาหลายเท่าตัว ไม่ใช่ยังซุ่มเงียบรอเวลาผ่านไป สุดท้ายก็สายไป ต้องมานั่งนับศพกันเหมือนเดิม
สงครามกลางเมืองไม่มีจริง...ทำใจไว้
1. อำนาจของสีเขียวสีเดียวก็เพียงพอที่จะออกมาหยุดเสื้อสีใดสีหนึ่งได้อย่างง่ายดาย เพราะจำนวนทหารที่ประจำการอยู่จำนวนมากและเรียกระดมพลเสริมได้อีก
2. อาวุธยุทโธปกรณ์ที่กองทัพมีไว้สำหรับต่อต้านศัตรูภายนอกประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่กำลังมวลชนเสื้อสีใดสีหนึ่งหรือทั้ง 2 สีจะต้านทานได้ ดูได้จากงบประมาณในการซื้ออาวุธ คลังอาวุธตามค่ายทหารต่างๆในแต่ละจังหวัดอีกจำนวนมาก
3. กำลังพลเขาฝึกมาเพื่อ "ฆ่าศัตรู" และ "ปกป้องตัวเองจากศัตรู" แต่มวลชนทั่วไปไม่ได้รับการฝึกสิ่งเหล่านี้ และมวลชนยังประกอบด้วยผู้หญิงอีกจำนวนมาก ที่ไม่อาจนำไปสู้รบในลักษณะการใช้อาวุธได้ เมื่อแยกผู้ชายออกมา ยังต้องแยกเด็กและผู้ใหญ่วัยชราออกมาอีก ดังนี้นจะเหลือเพียงมวลชนชายใจถึงเพียงจำนวนไม่มากนัก ไม่สามารถจับอาวุธสู้รบกับกำลังพลได้ และไม่สามารถป้องกันเอาตัวรอดได้ในสนามรบ เพราะอย่างมาก็ได้รัยบการฝึก รด หรือเคยเป็นพลทหารมาเท่านั้น แต่ต้องต่อสู้กับทหารประจำการ โดยเฉพาะชั้นนายสิบ จ่า ขึ้นไปที่เป็นมืออาชีพ
4. ไม่มีทางที่จะมีใครทำการลากรถถังออกมาซ้อน หรือลากเครื่องบิน ลากเรือรบออกมาต่างหาก เพราะเวลาจะทำการใหญ่แบบนี้ เขาจะใช้วิธียกหูเคลียใจกัน ทหารปกครองกันในระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่ว่าจะทัพบก เรือ อากาศ ล้วนมีที่มาจาก รร.รวมเหล่า สมัยก่อนก็มาจาก จปร ด้วยกันทั้ง 3 เหล่าทัพ แต่ปัจจุบันแยกเหล่า แต่ก็ยังนับถือกันอยู่เสมอ ทหารระดับใหญ่ๆแนวหน้าของกองทัพ ชื่อเสียงนามสกุลดังๆ สมัยก่อนล้วนแล้วแต่มีบารมี ปกครอง เลี้ยง ส่งเสริมลูกน้องในสายบังคับบัญชาของตัวเองมากันไม่ต่ำกว่า 20-30 ปี มีลูกน้องพร้อมยอมตา่ยแทน เชื่อฟัง ไม่มีหักหลัง ดังนั้นคนเหล่านี้ยกหูทีเดียวทุกอย่างที่เป็นเรื่องยาก กลายเป็นเรื่องง่ายทันที ดูตัวอย่างได้ในสมัยนายกแดนไกล ขนาดมีเพื่อนรุ่วมรุ่น และรุ่นพี่สายตัวเองปกครอง ยังแพ้ราบคาบตั้งแต่ยังไม่ได้จับปืนสู้เลยด้วยซ้ำ เพราะจะมีผู้ใหญ่ยกหูแสดง power ปิดเกมส์กันเรียบร้อยทางโทรศัพท์
5. เป็นที่รู้กันในหมู่ทหารระดับบนๆว่า สีเขียวนั้นคนใหญ่จริงๆอาจสามารถโยกย้ายกำลังพลข้ามสายงานได้ เช่น สามารถโยกย้ายสีกากี สายน้ำ สายอากาศ ได้ด้วยซ้ำไป ดังนั้นบารมีใครใหญ่กว่ามากกว่า ผู้นั้นย่อมเป็นผู้กำชัยชนะ จะหาโอกาสที่ทัพใดจะแตกคอไปคงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครเสี่ยงอยู่ทัพเดียวมาเข้าข้างเสื้อสีใดเฉพาะ ยิ่งทัพฟ้ากับน้ำ อาวุธที่มีล้วนใช้ทำสงครามทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างหรือยานพาหนะมากกว่าจะใช้ทำลายกำลังพล จะมีก็แต่ทัพบกเท่านั้นที่มีอาวุธเหมาะสมในการทำลายได้หลากหลาย โดยเฉพาะสู้กับคน
6. อาจมีคนสงสัยว่าทหารแตงโม มีหรือไม่ แน่นอน การโยกย้ายหลายปีที่ผ่านมาทำให้สายการปกครอง วุ่นวายไม่เป็นไปตามรุ่นที่ควรจะเป็นย่อมมีผู้ไม่พอใจอย่างมาก จำนวนมาก เพราะทหารจะไม่สามารถที่จะเติบโตได้เรียงตามลำดับรุ่น เช่น 1 2 3 4 5.... แต่อาจเป็น 1 3 5 7 9 เป็นต้น เนื่องจากอายุราชการและส่วนประกอบทางเทคนิคอื่นๆ เมื่อระดับบนโยกย้ายเอาคนของตัวเองขึ้นมาโดยผู้นั้นไม่ได้อยู่ในไลน์หรือสายที่ควรจะขึ้น ก็จะทำให้ระบบรุ่นรวนไปหมด เช่นตัวอย่างในอดีต จปร.5 ควรขึ้นก่อน จปร.7 แต่ผู้มีอำนาจไปสนับสนุน รุ่น 7 ขึ้นข้ามหัวรุ่น 5 พอต่อมา รุ่น 7 เติบโตเกินเอาไม่อยู่ ผู้มีอำนาจก็ไปสนับสนุนรุ่น 5 ขึ้นมา รุ่น 7 ก็ไม่ยอม ทั้งที่อาวุโสน้อยกว่าแต่ได้ดีจนเคยตัว เป็นบ่อเกิดของการลากรถถังออกหลายต่อหลายครั้งในอดีต ดังนั้นถึงแม้จะมีทหารแตงโมแต่ก็ถูกโยกย้ายไปอยู่ในสายที่ไม่คุมกำลังหมดแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรวมตัวกันขึ้นมาสู่กับสายกำลังหลักปัจจุบัน
7. ทหารใช้ระบบผลการสอบ เมื่อจบ รร.เหล่า ใครได้คะแนนดีก็จะมีสิทธิ์ที่จะเลือกไปอยุ่ยังหน่วยงานดีๆ ระดับคุมกำลังของกองทัพ เพื่อเข้าไปสู่สายที่จะเป็นผู้พัน ผู้บัญชาการ แม่ทัพ จนถึงผบเหล่า ได้ ส่วนคนที่ได้คะแนนน้อยๆก็อาจต้องไปอยู่ตามชายแดนหรือหน่วยสนับสนุนที่ไม่อาจก้าวไปถึงดวงดาวได้ แต่ยังมีโอกาสอีกครั้งเมื่อจะติดยศพันตรี ต้องเข้าเรียนยัง รร.เสธ เมือจบแล้วก็จะดูคะแนนสอบที่ได้ว่าใครได้มากก็อาจมีสิทธิ์ที่จะเลือกหน่วยงานดีๆไปลงได้อีกครั้ง ยกเว่นบางสายงานที่ไม่อาจไปยุ่งกับคนอื่นได้เพราะไม่ตรงสายงานตัวเอง โดยมักมีการจองที่กันไว้ก่อนแล้ว เพราะล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนๆกันทั้งนั้น ใช้ซื้อใจกันก็จบเกมส์ ทหารใช้วิธีแบบนี้เสมอ ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังกัน แต่ในระยะเวลาที่ผ่านมามีการย้ายข้ามสายงานกัน ประเพณีที่เคยเป็นมาอาจมีการเปลี่ยนแปลง อาจเรียกง่ายๆบ้านๆได้ว่ามีการ เอาทหารกรุงไปตบยุง และนำทหารบ้านนอกมาอยู่กรุงแทน ดังนั้นทหารสายที่มาอย่างถูกต้องจึงมีน่อยกว่า ไม่สามารถต้านทานสายใหม่ได้เลย หรือที่มีคำเรียกทหารกรุงกันว่า วง.... และเรียกทหารต่างจังหวัดว่า บู.... เป็นต้น
8. มีคนอาจมโนภาพไปอีกว่า สีกากี เชี่ยวชาญกลศึกในเมืองมากกว่า สู้ได้แน่ แต่ความเป็นจริง สีกากีนั้น ระดับสูงไม่ได้จบมาจาก รร.เหล่าอย่างเดียวแต่มีผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยต่างๆเข้ามาอีกด้วย จึงไม่สามารถรวมตัวกันเป็นระบบพี่น้องได้ แถมยังมีการเมืองเข้ามาโยกย้ายแต่งตั้งได้ตลอด ทำให้เกิดเป็นสายใครสายมันมากกว่า อีกทั้งผู้ที่จบจากรร.เหล่า ก็ต้องผ่าน รร.เตรียมทหาร ไปอยู่กับเพื่อนต่างทัพอีก 3 เหล่า มีสายใยโยงอำนาจหากันได้อีก ไม่เป็นเอกภาพ จะเห็นได้ชัดตัวอย่างจากบางคนที่ไปอยุ่กับฝ่ายตรงข้ามรัฐสังกัดกทม ก็ยังมีบารมีในกรมกากี สามารถหาข่าวสาร อาจถึงสั่งานลูกน้องเก่าได้อีก ดังนั้นเมื่อกากีไม่เป็นหนึ่งเดียวจริงๆ เมื่อกำลังสีเขียวลากรถถังออก แล้วเรียกหัวหน้าหน่วยงานต่างๆเข้ามรายงานตัว เหล่าระดับบนๆของสีกากีก็ต้องยอมแพ้เข้าไปรายงานตัวเปลี่ยนข้างโดยจำยอมทุกครั้งไป เพราะเขารู้ไส้รู้พุงกันดีว่าไม่อาจสู้อำนาจทุกอย่างของกองทัพได้ เมื่อนั้นหากสมมุติจะมีบางหน่วยงาน บางกลุ่มของสีกากีที่ไม่ยอม หาญสู้อย่างมาก็จะเป็นเพียงแค่การสู้แบบจรยุทธ แอบๆซ่อนๆ ประปราย ไม่นานก็จะถูกปราบราบคาบสิ้น เพราะด้วยการสนับสนุนทุกอย่างน้อยกว่าที่กองทัพมี ไม่ว่าจะกำลังพล อาวุธ เสบียง ฯลฯ
9. ด้วยกำลังพลสีกากีนั้น มีหน่วยพิเศษเพียงแค่ 3 หน่วย และกำลังพลต่างได้เคยเข้ารบการฝึกจากเหล่าทัพทั้งสิ้น ดังนั้นไม่อาจรับมือกับกองทัพที่มีกำลังพลชั้นครูฝึก ไม่ต้องเอ่ยนามหน่วย เป็นที่รู้กันดีว่าแต่ละหน่วยผ่านสงครามจริงมามาก ทั้งเหตุการณ์ปฏิวัติหลายครั้ง เหตุการณ์พิเศษปกปิดอีกมาก ไม่อาจเทียบชั้นกันได้เลยสักนิด
10. บ้างมโนภาพใส่ร้ายว่ามีการจ้างกองกำลังต่างชาติเข้ามาช่วยเสื้อแดง โดยความเป็นจริง ตามแนวชายแดนกองทัพ กับตชด ได้รักษาแนวไว้ตลอดเวลายกที่จะมีกองกำลังต่างชาติผ่านเข้ามาประทำการใดๆได้ง่ายๆ ถึงหลุดเข้ามาก็จะถูกผลักดันออกไปโดยใช้เวลาไม่นาน ดังนั้นมีประตูเดียวที่กองกำลังต่างชาติ(เพื่อนบ้าน)จะเข้ามาได้คือ กองทัพปิดหูปิดตา รู้เห็นเป็นใจด้วยเท่านั้น ดังนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ที่เพื่อนใกล้ๆบ้านจะมาช่วยแดงได้นอกเสียจาก มาช่วยอีกสีหนึ่งอาจเป็นไปได้หากประตูเปิด
11. มีการลือกันอีกว่าจะมีกองกำลังผิวขาวมาช่วย ดูในความเป็นจริง สมมุติบ้านเมืองมีเหตุถึงขั้นก่อการก่อการจลาจล ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เหตุการณ์ปราบเสื้อแดงก็ไม่ถือว่าเป็นการจราจล เพราะถือเป็นเหตุใหญ่ด้วยผู้คน 2 ฝ่ายจะออกมาปล้นสะดม เข่นฆ่ากัน โดยไม่เกรงกลัวกฏหมาย หรือกฏหมายใช้ไม่ได้ผล แค่นั้นไม่อาจนำไปสู่การที่นานาชาติจะเข้ามาแทรกแซงได้ เพราะต้องเกิดสงครามการเมืองเท่านั้น สมมุติ ประชาชนติดอาวุธจัดตั้งกองกำลังสู้กับสีเขียว มีการยิงถล่มกันใช้อาวุธหนัก ฆ่ากัน และไม่มีใครเอาอยู่ โดยจะต้องมีผู้นำฝ่ายหนึ่งที่นานาชาติยอมรับอาจหนีไปเมืองนอก ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นให้นานาชาติลงมติยอมรับ บอยคอด คว่ำบาตร มีกระบวนการมากมายกว่าที่นานาชาติ จะส่งกำลังเข้ามาเลือกที่จะสยบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เขาไม่ยอมรับ หรืออาจใช้การช่วยสนับสนุนส่งอาวุธให้ฝ่ายที่มีความชอบธรรมมากกว่าแต่ไม่มีอาวุธต่อสู้กับอีกฝ่ายหนึ่งที่พร้อมด้วยอาวุธ เพราะส่วนมากการเข้าแทรกแซงก็มักจะเข้ามาทำการจัดการเลือกตั้งและช่วยจัดตั้งรัฐบาลให้เท่านั้น นอกจากประเทศที่หัวรุนแรงและมีกำลังพลพร้อมอาวุธที่ไม่ยอมกองกำลังนานาชาติเท่านั้น ถึงจะมีการสู้รบกับนานาชาติเกิดขึ้น
12. เป็นไปได้หรือไม่ว่าประชนชนจัดตั้งกองกำลังของตัวเอง รบกับกองทัพ ย้อยไปดูข้อ.3 จะเห็นได้เลยว่า ต่อให้ได้รับการฝึกมาก็จะมีกำลังพลไม่มาก ที่เชียวชาญอาวุธจริงๆ ที่สำคัญอาวุธที่จะต่อกรกับกองทัพได้ต้องเป็นอาวุธหนักเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถจะหาได้มากพอไม่ว่าจะหาโดยวิธีใดก็ตามนอกจากนานาชาติสนับสนุนส่งอาวุธให้เท่านั้น อีกทั้งเมื่อต้องรบจริง ประชาชนหัวกะทิที่ใจกล้าเท่านั้นที่จะยอม "ตายจริง" ซึ่งเมื่อถูกปราบสิ้นก็จะหากำลังพลทดแทนไม่ได้ ไม่เหมือนกองทัพที่หาได้ตลอด จึงเป็นเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น
13. สิ่งที่กองทัพจะทำอย่างแรกคือ จัดการแกนนำก่อน ไม่ว่าด้วยวิธีใด แล้วตัดการติดต่อสื่อสาร เช่น ช่องทีวี วิทยุของมวลชนฝ่ายตรงข้าม เช่นเดียวกับเหตุการณ์ปราบเสื่อแดงที่ผ่านมา เมื่อถูกตัดการสื่อสารทั้งทีวี วิทยุชุมชน internet แล้ว การบัญชาการของมวลชนจะไม่เป็นเอกภาพพ่ายแพ้ในที่สุด
แล้วหากเกิดเหตุการณ์ลากรถถังออกมาประชนฝ่ายที่ชอบธรรมจะต่อสู้ได้อย่างไรถึงจะชนะ?
ตอบได้เลยว่าหนทางแทบเป็นไปไม่ได้เลย นอกเสียจากมวลชนจะรวมกันได่มากมายมหาศาลโดยไม่มีโรยรา เป็นปวงชนชาวไทยจำนวนหลักแสนคนขึ้นไปในแต่ละจังหวัด และส่งต่อให้นานาชาติกดดันเท่านั้น โดยสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในไทย ไม่มีใครรับรองได้ว่ากองทัพจะกล้าสู้กับประชาชนจำนวนมากหรือไม่ เพราะขนาดสมัยเสื้อแดงมาชุมนุมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย 3 เวที ผู้คนหลายแสนคน ของจริง มากกว่าม๊อบกบฏหลายเท่า ก็ยังถูกปราบราบคาบสิ้น ดังนั้น การเผื่อใจไว้ ดีกว่าร้องไห้ทีหลังและเป็นคำตอบว่า การรวมกลุ่มของประชาชนที่ต่อต้านอำนาจจากปากกระบอกปืนต้องมีขึ้นแล้ว และมีมากกว่าที่เคยมีมาหลายเท่าตัว ไม่ใช่ยังซุ่มเงียบรอเวลาผ่านไป สุดท้ายก็สายไป ต้องมานั่งนับศพกันเหมือนเดิม